2023-06-02

สิบโทสุดช้ำ กู้เงินแสนแต่งงานได้ 7 วัน ถูกเมียเท แม่ฝ่ายหญิงโต้เดือด ท้าแจ้งความ

By Abdul

สิบโทสุดช้ำ กู้เงินแสนแต่งงานได้ 7 วัน ถูกเมียเท หายไปพร้อมสินสอด แม่ฝ่ายหญิงโต้เดือด เหมือนหนังคนละม้วน

ผู้ใช้เฟซรายหนึ่ง ซึ่งเป็นทหารและเป็นเจ้าบ่าวป้ายแดงโพสต์ข้อความเล่าเหตุการณ์สุดช้ำ โดยระบุข้อความไว้ว่า

“อยากจะเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นปียันตอนนี้ ผมได้คบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ตกลงคบกัน จะมีอยู่วันหนึ่ง ได้ตกลงแต่งงาน พอแต่งงานได้ 7 วันเท่านั้น นางได้ขาดการติดต่อมาสักพักหนึ่ง พอติดต่อได้คือบอกอยู่ไปไม่มีความสุข สุดท้ายผมโดนเทหรือนี่คือยังไง

จนผมได้ไปเคลียร์มาจากที่ทำงานเขา ผมก็ได้คำเดิมกลับมาคือเลิก ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ ส่วนท่านใดอยากแสดงความคิดเห็น ได้เลยนะครับ ผมอยากเห็นความคิดหลายๆ คน ว่าเหตุการณ์นี้ ควรทำอะไร”

วันนี้ (1 มิ.ย. 66) นายสุธา วัย 28 ปี ทหารยศนายสิบโท เปิดเผยด้วยความเศร้าใจ พร้อมกับโชว์บรรยากาศรูปงานแต่ง พร้อมกับการ์แต่งงานให้ดู ซึ่งนายสุธา บอกว่า ตนตัดสินใจสมรสกับ น.ส.เอ (นามสมมติ) โดยเข้าพิธีสมรสกันในวันที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยงานแต่งนี้ จัดที่บ้านของฝ่ายหญิง ที่ จ.บุรีรัมย์

นายสุธา ยังบอกอีกว่า ตนรู้จักกับ น.ส.เอ ผ่านแอปพลิเคชันหาคู่ ก่อนจะทำความรู้จักกันเพิ่มขึ้น และได้ขอเบอร์ติดต่อเพื่อใช้พูดคุย ก่อนจะมีการนัดเจอ และไปนอนที่บ้านของ น.ส.เอ 

ทว่าพอตื่นเช้าขึ้นมา ญาติของฝ่ายหญิงเข้ามาบอกกับตนว่า ให้เอาผู้ใหญ่มาคุย เพราะทำผิดประเพณีของพื้นถิ่น จึงได้ติดต่อหาพ่อเพื่อเข้ามาไกล่เกลี่ย จนได้ทำการหมั้นหมาย และญาติของ น.ส.เอ ได้เรียกสินสอดเป็นเงิน 2 แสนบาท พร้อม ทองหนัก 2 บาท เมื่อ ก.พ. ที่ผ่านมา 

แต่ผ่านไปเพียงแค่ 15 วัน แม่ของ น.ส.เอ ได้ติดต่อมาหาตน บอกว่าให้เลื่อนวันแต่งงานเข้ามาอีกได้หรือไม่ แต่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเรียกค่าสินสอดเป็นเงิน 1 แสนบาท กับทองหนัก 1 บาท ตนจึงเริ่มเอะใจ ทำไมถึงเร่งรัดขนาดนี้

นายสุธา เล่าต่อว่า เมื่อใกล้ถึงช่วงจัดงาน ตนก็โดนครอบครัว น.ส.เอ โทรมาขอเงิน เพื่อนำไปซื้อของจัดเตรียมงาน ตนก็ได้โอนให้ แต่เมื่อวันแต่งงาน ตนแห่ขบวนขันหมากไปถึงบ้าน น.ส.เอ กลับไม่มีญาติ หรือคนในหมู่บ้านมาร่วมงาน มีเพียงญาติที่สนิทเท่านั้น และพิธีแต่งงานก็ผ่านไปเร็วมาก 

แต่เมื่ออยู่กินหลังแต่งงานผ่านไปราว 6-7 วัน น.ส.เอ ก็เริ่มตีตัวออกห่าง และเริ่มเงียบหายไป เมื่อตนไปตามในที่ทำงาน และพยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ น.ส.เอ ก็ไม่ยอมพูดด้วย ก่อนจะเดินหนีไป

เมื่อเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดขึ้น ตนจึงได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้น มาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเพื่อสอบถาม และขอความเห็น รวมถึงพูดคุยกับทางครอบครัว ซึ่งทุกคน ทุกความเห็นบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ถูกหลอกเอาเงินสินสอดแน่นอน

สุดท้าย นายสุธา บอกว่า ตนจะเข้าไปแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.เอ  ในข้อหาหลอกลวงและจะฟ้องเอาเงินที่ตนเสียไป รวมๆ เกือบ 2 แสนบาท ที่ตนกับครอบครัวได้ไปกู้มา เพื่อหวังสร้างครอบครัวและอนาคต 

ผู้สื่อข่าวที่จังหวัดบุรีรัมย์ ได้เดินทางไปสอบถามข้อเท็จริงกับญาติฝ่ายหญิงที่ ต.บ้านบัว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ พบนางสุภัค อายุ 49 ปี แม่ฝ่ายหญิง เล่าว่า ลูกสาวไปรู้จักกันฝ่ายชายที่ไหนตนไม่ทราบ แต่ฝ่ายชายมาหาที่บ้าน ถึงขั้นมาอยู่กินด้วยกันนานกว่า 2 เดือน ญาติจึงถามว่าจะเอาอย่างไร สุดท้ายตกลงจะแต่งงานกัน แม่ไม่ได้ห้ามก่อนจะมีการจัดงานแต่งตามประเพณี การที่ฝ่ายชายบอกว่าลูกสาวเทงานแต่ง หรือหลอกให้แต่งงานไม่ถูกต้อง เพราะได้มีการจัดงานอย่างสมเกียรติ ชาวบ้านมาร่วมงานแต่งเป็นจำนวนมาก มีดนตรี มีฉลอง น่าจะดีกว่างานแต่งอีกหลายคู่ในหมู่บ้าน

เท่าที่ทราบฝ่ายชายชอบทำร้ายลูกสาว ซึ่งอาจจะเป็นมูลเหตุที่ทำให้ลูกสาวไม่สนใจ ประกอบกับลูกสาวเป็นคนไม่พูด

ขณะที่ นางไอ อายุ 51 ปี ป้าฝ่ายหญิง เล่าว่า “จะเทงานแต่งได้อย่างไร” จัดเครื่องเสียงงานแต่งครบ จัดที่พักให้ฝ่ายชายที่เดินทางมาจากจังหวัดสิงห์บุรีอย่างดี หลังแต่งเด็กก็อยู่กินตามปกติ แต่ฝ่ายชายทำงานที่จังหวัดชลบุรี ส่วนฝ่ายหญิงทำงานที่กรุงเทพฯ

นายไอ เล่าด้วยว่า ตอนแรกตกลงค่าสินสอด 1.5 แสน ทอง 2 บาท แต่เจ้าบ่าวขอไปแต่งเดือน 12 แต่ได้มีการเลื่อนแต่งลงมา จึงลดสินสอดเป็น 1 แสนบาท ทอง 1 บาท หมู 100 โล เหล้า 2 ลัง เบียร์ 2 ลัง น้ำส้ม 2 ลังตามประเพณีของคนที่นี่ ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นฝ่ายเจ้าสาวเป็นคนจัดการทั้งหมด

ยอมรับว่าแปลกใจหลังงานเสร็จงานแต่ง ญาติฝ่ายชายขอสินสอดคืน พวกตนจึงบอกว่ามีค่าใช้จ่ายหลายอย่างกับเงินเพียง 1 แสนแทบไม่พอค่าใช้จ่ายแล้ว ส่วนกรณีฝ่ายชายจะแจ้งความอะไร ทางเราไม่กลัว เพราะเราทำถูกต้องทุกอย่าง

ด้านนางสุภาพ อายุ 68 ปี ชาวบ้านที่ไปร่วมงานแต่งงานเล่าว่า ได้ไปร่วมงานแต่งกับเขาด้วย จัดใหญ่พอสมควร ถ้าเปรียบเทียบกับเงินสินสอด 100,000 บาท ถือว่าสมเหตุสมผล เงินไม่เหลือไม่ขาด